เราจะทำอย่างไรเมื่อคิดว่าชีวิตถึงทางตัน
ความทุกข์ที่เกิดขึ้น
ยามพบกับความผิดหวังนั้น
หากทำใจยอมรับหรือปล่อยวางได้
มันก็ไม่มีพิษสงมากนัก
แต่ส่วนใหญ่แล้ว
ผู้คนมักหมกมุ่นครุ่นคิดกับเหตุการณ์ที่ไม่เป็นดั่งใจ
ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ และยิ่งทุกข์ก็ยิ่งลืมตัว
จึงจมปลักอยู่กับเรื่องนั้นๆ ไม่สามารถหาทางออกได้สักที
......................................
เราก็เป็นคนหนึ่งที่เคยมีความรู้สึกว่าชีวิตมันได้มาถึงทางตันแล้ว หาทางออกไม่เจอ เมื่อครั้งเสียลูกสาวคนโตไป โดยไม่มีทางกลับมาได้ เหมือนดั่งฟ้าถล่มทลายมาต่อหน้า โลกได้มืดลงเหมือนคนตาบอด รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่บนพื้นดินคนเดียวแล้วพื้นดินรอบๆได้ถล่มลงไป ไม่รู้จะไปทางไหนดี รับรู้ได้ถึงคำว่าทุกข์ที่แท้จริง แม้กระทั่งไม่อยากมีลมหายใจ รู้ซึ้งถึงคำว่าใจจะขาด ร้องไห้ทุกวัน จนน้ำตาจะเป็นสายเลือด ทุกครั้งที่หลับตาต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา แล้วก็เอาแต่ร้องไห้ พยายามหลอกตัวเองว่าเราฝันไปใช่มั้ย นี่มันไม่ใช่เรื่องจริง มันแค่ความฝัน เอาแต่จมปลักอยู่กับความทุกข์ รอบข้างแม้ให้กำลังใจมากมายก็ไม่สามารถดึงเราขึ้นยืนได้ แม่คือคนที่เตือนสติว่าให้มองดูคนรอบข้าง ยังมีลูกอีกคนที่เราต้องดูแล สงสารสามีที่ต้องมาดูแลทั้งที่ตัวเขาเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน สามีจึงให้ไปปฏิบัติธรรม ก็ยังไม่ดีขึ้น ในช่วง 3 เดือนแรกเหมือนคนไม่มีสติ เอาแต่ร้องไห้ เก็บตัวแทบจะไม่คุยกับใคร ฝืนใจไปทำงาน คิดแม้จะลาออกจากงานที่ทำ เราทำงานด้านจิตวิทยาอยู่แล้วเลยมองว่าเราจะผ่านมันไปได้ด้วยตัวเราเอง แต่มันก็ไม่ง่ายเลย ทฤษฎีมากมายมันใช้ไม่ได้กับชีวิตจริงๆหรอก เมื่อคนรอบข้างมองมา คิดว่ามันไม่ดีขึ้นจึงขอร้องให้เราเข้าบำบัด และได้รับยาต้านซึมเศร้า เมื่อผ่านไป 1 เดือน ความรู้สึกไม่ได้ดีขึ้น แค่ทำให้น้ำตาไหลยากขึ้นเท่านั้นเอง ถึงรู้ว่าเรากำลังหลอกตัวเองอยู่ ยาไม่ได้รักษาอาการทางใจได้หรอก การหลีกหนีความจริงไม่มีอยู่จริง เราจึงบอกตัวเองว่าเราจะต้องผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนี้ไปให้ได้ จึงเดินหน้าปฎิบัติธรรมอย่างจริงจังซึ่งจะนำไปสู่การดับทุกข์ ศึกษาธรรมะ ฟังธรรมะ ทำบุญใส่บาตร สวดมนต์ไหว้พระ ทำทุกวิธีทางที่จะลุกขึ้นยืนและก้าวเดินต่อไปข้างหน้าให้ได้ และเพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับลูกที่เสียไปด้วย มีคำกล่าวว่า เมื่อเราบินไม่ได้ เราก็วิ่ง เราวิ่งไม่ได้ เราก็เดิน เราเดินไม่ได้เราก็คลานไป ทำทุกวิธีทางให้เคลื่อนไปข้างหน้า เมื่อวานยังหายใจได้จนผ่านมาถึงวันนี้ พรุ่งนี้ก็ย่อมมีเสมอ พยายามหายใจเข้าไว้
3 ปีแล้ว ปัจจุบัน เราเดินได้แล้ว แม้ยังวิ่งไม่แข็งแรงก็ตาม แต่เราจะค่อยๆเดินอย่างมีสติ เราเพียงพอกับความเจ็บปวดนี้แล้ว เราจะไม่ให้สิ่งใดมาทำให้ใจเจ็บปวดมากกว่านี้ การอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าคิดจะอยู่ก็ควรจะอยู่ให้ดี จึงเพียรทำแต่เรื่องดี มองโลกในแง่บวก เพราะการมองโลกในแง่บวกไม่ใช่การหลอกตัวเองว่าไม่ทุกข์ แต่การมองโลกในแง่บวกคือการมองหาข้อดีในสถานการณ์ที่กำลังทุกข์อยู่ ชีวิตตอนนี้เราก็มีความสุขเท่าทีคนคนหนึ่งจะเป็นได้ รู้จักใช้ชีวิต มีแม่ที่ต้องดูแล มีสามีที่ดีและลูกที่น่ารัก ทำบุญและอุทิศตนให้เป็นประโยชน์ เท่านี้ก็เพียงพอและมีค่าที่จะอยู่บนโลกใบนี้แล้ว อยากให้กำลังใจทุกคนสู้กับปัญหาต่อไปไม่ว่าจะเรื่องใด อย่าท้อ ฟ้าหลังฝนสดใจเสมอ
..........................
คนหลายคนมักล่ามโซ่จองจำ
อยู่กับอดีต จนลืมคิดไปว่า
ลูกกุญแจที่ไขโซ่นั้น
ก็อยู่ที่ "ตัวเรา"
........................
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น